tag:blogger.com,1999:blog-32269152305664677282024-03-08T14:37:44.544-08:00Just PharmCareelixerhttp://www.blogger.com/profile/01007727158774023136noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-3226915230566467728.post-57666791223986863582007-03-25T07:29:00.001-07:002007-03-25T07:29:09.277-07:00การนำเสนอ<div xmlns='http://www.w3.org/1999/xhtml'>การนำเสนอ ต้องมีอยู่เรื่อยๆ เพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจการทำงานของเรา และได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เทคนิคต่อไปนี้ลอกมาจากของคุณ <a href='http://justcompany.blogspot.com/2005/05/blog-post_26.html'>mk</a> แทบจะทั้งดุ้น เพราะรู้สึกว่าเขียนได้ีละเอียดดี แถมเราก็เห็นด้วยกับหลายๆ เรื่อง<br></br><ul><li>สไลด์: จุดประสงค์ของสไลด์หรือพรีเซนเตชัน ก็คือการบอกว่า<br />เรื่องนี้คืออะไร (จำกัดความ) มีความน่าสนใจแค่ไหน<br />(เปรียบเทียบกับคู่แข่งหรือตัวอื่นๆ) และถ้าสนใจเพิ่มเติม<br />สามารถหาข้อมูลได้แถวไหน (เว็บลิงก์ หรือคีย์เวิร์ดสำคัญ<br />ให้คนไปกูเกิลได้) เท่านั้น ซึ่งมีคนจำนวนมากคิดว่ามันคือ Text Document<br />ที่ดันอยู่ในแนวนอน แล้วก็พยายามก็อปเอกสารทั้งหน้า<br />หรือข้อความเป็นพรืดใส่ลงไป</li><li>ที่คิดไว้ในใจ<br />สไลด์หน้านึงยาวได้แค่ 8 บรรทัดเท่านั้น นั่นหมายถึง Bullet 4 อันต่อหน้า<br />(พร้อมคำอธิบาย Bullet ละบรรทัด) ความยาวนั้นไม่ตายตัว แต่เรื่องทั่วๆ<br />ไปก็ไม่น่าจะเกิน 20 แผ่นโดยประมาณ<br />ถ้ายาวกว่านั้นแสดงว่าคุณมีปัญหาในการย่อใจความสำคัญแล้ว<br></br> </li><li>ผมให้ความสำคัญกับหน้าตาของสไลด์ค่อนข้างมาก<br />ถึงทุกคนจะไม่สามารถ"ทำ"สไลด์ให้สวยเท่ากันได้<br />แต่ทุกคนสามารถ"มี"สไดล์ที่สวยเหมือนกันได้ <br></br></li><li>ตาราง ชาร์ตต่างๆ<br />สามารถแต่งให้มันดูดีได้ ห้ามมีตารางแบบที่เป็นสาวออฟฟิศหัดเล่น PPT<br />หรือฟอนต์สีรุ้งที่พวกข้าราชการชอบทำใน Word Art โผล่มาเด็ดขาด<br></br> </li><li>สิ่งที่ต้องมี<br />คือ ชื่อสไลด์, โอกาสที่มาพรีเซนต์พร้อมลงวันที่,<br />ชื่อคนเขียนพร้อมเมลที่ติดต่อได้, ไลเซนส์ของสไลด์ (ไม่แน่ใจว่า Creative<br />Commons จะเหมาะกับงานเอกสารภายในรึเปล่า) ที่สำคัญคือก่อนคุณพูด<br />คุณต้องมี Archive ของสไลด์นั้นเก็บไว้บนเว็บก่อนพูดเสมอ เพื่อว่าลูกค้า<br />(หรือผู้ที่สนใจ) จะได้ไม่ต้องมาถามถึงอยู่ตลอดว่ามีสไลด์ให้โหลดมั้ย<br />การทำ Archive อาจเป็นของรวมของบริษัทที่เป็นเรื่องเป็นราว แยกคนเขียน<br />แยกวันเวลาชัดเจน</li><li>สิ่งที่ไม่ควรมีคือหน้า Question? ในแผ่นสุดท้าย <br></br></li><li>บุคคลิกในการพรีเซนต์เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเกลา<br />บางคนจะมีคำพูดเกะกะที่ติดปากเวลาตื่นเต้น เช่น ก็ นะครับ ดังนั้น etc.<br />ต้องคอยสังเกตและปรับปรุงตอนเทรน</li><li>ผมแนะนำให้ยืนพรีเซนต์ดีกว่านั่งพรีเซนต์<br />มันดู Active กว่า และสามารถเล่นท่าทางได้มากกว่า<br />แต่ต้องระวังเคสการยืนบังสไลด์ตัวเองในห้องเล็กๆ และลีลาท่าทางในการยืนด้วย</li><li>ออกจะลำเอียงไปเล็กน้อย<br />แต่ว่าเอกสารนำเสนอไม่ค่อยมีบทบาทในการแลกเปลี่ยนไฟล์เท่า Text Document<br />ดังนั้นเราควรจะทำเป็น OpenDocument ให้หมด (พร้อมเวอร์ชัน PDF)</li><li>อีกอย่างที่สำคัญคือหน้าจอ<br />Notebook ของผู้พูดต้องดูอินเตอร์ด้วย ถ้าเอาขึ้นจอใหญ่ดันมีโปรแกรมไม่มี<br />License หรือไฟล์หนังโป๊โผล่มานี่คงอายตาย <br></br></li><li>เอฟเฟคนี่ไม่ควรใส่มาก ถ้าเป็นไปได้ไม่น่าจะใส่มาเลย ถ้ากลัวคนฟังง่วง น่าจะใช้เทคนิคอื่น มาเล่นกับคนฟังแทน (ผมเพิ่มเอง)</li><li><a href='http://blog.guykawasaki.com/2005/12/the_102030_rule.html'>กฎ 10-20-30</a> ของ Guy Kawasaki (สไลด์ไม่เกิน 10 หน้า ใช้เวลานำเสนอไม่เกิน 20 นาที ขนาดตัวอักษรไม่เล็กกว่า 30) ก็น่าจะเอามาใช้เวลานำเสนอแนวความคิดการทำงานแบบใหม่ๆ ให้กับบุคลากรในโรงพยาบาล <br></br></li></ul>แนะนำอ่านเพิ่มเติมที่ <a href='http://www.presentationzen.com/'>Presentation Zen</a><br></br><br></br></div>elixerhttp://www.blogger.com/profile/01007727158774023136noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3226915230566467728.post-45858211051987564082007-03-24T10:03:00.001-07:002007-03-24T10:03:25.620-07:00Electronic Medical Records for Pharmcare<div xmlns='http://www.w3.org/1999/xhtml'>Electronic Medical Records หรือเวชระเบียนแบบอิเล็คโทรนิค ตอนนี้โรงพยาบาลศูนย์ ทั่วไปก็มีใช้กันเกือบหมดแล้ว โรงพยาบาลชุมชนก็ใช้กันเยอะแล้วเหมือนกัน โดยทุกโรงพยาบาลจะยังใช้คู่กับเวชระเบียนแบบเดิมที่เป็นแฟ้มอยู่<br></br><br></br><b>โจทย์คือเราจะเอาข้อมูลตรงนี้มาใช้ประโยชน์กับงานบริบาลเภสัชกรรมอย่างไร</b><br></br><br></br>ที่คิดไว้คือ จัดเก็บข้อมูลแยกเป็นอีกฐานข้อมูลหนึ่ง โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่เดิมให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แล้วค่อยซักเพิ่มเติมส่วนที่ไม่ค่อยเจอในเวชระเบียนเช่น<br></br><ul><li>ยาอื่นที่ไม่ได้รับจากโรงพยาบาล สมุนไพร อาหารเสริมที่รับประทานอยู่</li><li>การดำเนินชีวิต การออกกำลังกาย การประกอบอาชีพที่ส่งผลต่อโรคที่เป็น และการรักษา (อันนี้สำคัญ และซักยากที่สุด)</li><li>การรับประทานยาตามสั่ง (compliance) อยากได้เป็นเปอร์เซ็นต์เลยว่า เดือนนี้ทานยาตามสั่งได้กี่เปอร์เซ็นต์ จะได้ดูแนวโน้มการดื้อยา และรักษาหายได้</li><li>ประวัติการใช้ยาแบบละเอียดจริงๆ อันนี้คงทำได้ง่ายกับคนไข้ใหม่ แต่คนไข้เก่าต้องตามข้อมูลกันเหนื่อยหน่อย</li><li>ลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของคนไข้ อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะเก็บไว้ในฐานข้อมูลดีมั้ย เพราะมันค่อนข้างจะอ่อนไหว แต่ถ้าใช้วิธีจำเอา จะลำบากในการส่งต่องานให้คนอื่น <br></br></li></ul>นอกจากนี้ อยากจะคืนข้อมูลพวกนี้กลับไปให้เวชระเบียนเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะอยากได้หรือเปล่านะสิ<br></br><br></br><u>ส่วนนี้เป็นลิ้งค์ที่อาจได้ใช้ประโยชน์<br></br><br></br></u><a accesskey='4' href='http://www.mirrormed.org/index.php'>MirrorMed</a> - F/OSS EMR ที่เขียนด้วย PHP <br></br><a href='http://www.aafp.org/fpm/20070300/26ehrs.html'>EHRs Fix Everything - and Nine Other Myths</a> - ประโยชน์ของการเอา EMR มาใ้ช้<br></br><a href='http://casesblog.blogspot.com/2005/07/free-electronic-medical-records.html'>Clinical Cases and Images - Blog</a> - บล็อกที่พูดถึงเรื่อง EMR<br></br><br></br><br></br></div>elixerhttp://www.blogger.com/profile/01007727158774023136noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3226915230566467728.post-40650424789689051262007-03-24T09:26:00.001-07:002007-03-24T09:27:17.063-07:00การใช้ภาษาอังกฤษในการจ่ายยา<div xmlns='http://www.w3.org/1999/xhtml'>อันนี้ไปเห็น<a href='http://bowahaang.blogspot.com/2007/03/blog-post_7997.html'>เพื่อนเขียน</a> เลยจดเก็บไว้ใช้<br></br><br></br><b>การทักทายผู้ป่วย</b><br></br><br></br><ul><li> แบบทางการ Good morning, Good afternoon</li><li> แบบไม่เป็นทางการ Hi, Hello</li></ul>ต่อจากนั้นถามถึงสาเหตุการมาร้านยาเช่น<br></br><br></br><ul><li>How can I help you today?</li><li>What can I do for you today?</li><li>What happening?</li><li>What going on? </li></ul><br></br>พอกล่าวคำทักทายเสร็จแล้ว ก็ต้องถามเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของคนไข้เช่น มีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่ อาการเป็นยังไงบ้าง เคยเป็นมาก่อนหรือไม่ ได้ไปหาหมอหรือซื้อยามาทานแล้วหรือยัง รักษาแล้วเป็นยังไงบ้าง มีสิ่งใดที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง เช่น<br></br><ul><li>Tell me how you are feeling?</li><li>Tell me about symtoms?</li><li>When did it start?</li><li>How long have you had this symptom?</li><li>How often do you have this symptom?</li><li>Are you having any................?</li><li>Did anything make you feel better/worse with your.........?<br></br></li></ul> นอกจากนี้อาจถามเกี่ยวกับความรุนแรง ลักษณะการเจ็บป่วย เช่นลักษณะของผื่นเป็นอย่างไร ถ้าท้องเสียก็ถามลักษณะอุจจาระอะไรว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นหวัดก็ถามว่ามีน้ำมูกสีอะไร มีมากมั้ย เป็นต้น</div>elixerhttp://www.blogger.com/profile/01007727158774023136noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3226915230566467728.post-22695675821644941562007-03-24T07:28:00.000-07:002007-03-24T07:32:29.899-07:00startบล็อกนี้สร้างขึ้นเพื่อรวบรวม แนวคิด เทคนิคต่างๆ ในการพัฒนางานบริบาลเภสัชกรรม ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล หรือร้านยา โดยจุดมุ่งหมายหลักคือ ทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่ดี และปลอดภัยelixerhttp://www.blogger.com/profile/01007727158774023136noreply@blogger.com0